เมนู

และด้วยสามารถความผ่องใสแห่งอินทรีย์ทั้งหลาย เป็นเจโตปริยญาณ.

52. อรรถกถาเจโตปริยญาณนิทเทส


[255] พึงทราบวินิจฉัยในเจโตปริยญาณนิทเทส ดังต่อไปนี้
บทว่า โส เอวํ ปชานาติ - ภิกษุนั้นย่อมรู้อย่างนี้ ความว่า
บัดนี้พระสารีบุตรเถระจะยกวิธีที่ควรกล่าวขึ้นแสดง.
บทมีอาทิว่า อิทํ รูปํ โสมนสฺสินฺทฺริยสมุฏฺฐิตํ - รูปนี้เกิด
ขึ้นด้วยโสมนัสสินทรีย์เป็นวิธีอันภิกษุผู้เพ่ง เป็นอาที่กรรมิกควรปฏิ-
บัติอย่างไร ? อันภิกษุผู้เพ่งประสงค์จะยังญาณนั้นให้เกิดขึ้น ควรให้
ทิพจักษุญาณเกิดก่อน. เพราะเจโตปริยญาณนั้นย่อมสำเร็จด้วยสามารถ
แห่งทิพจักษุ. ญาณนั้นเป็นบริกรรมของทิพจักษุนั้น. เพราะฉะนั้น
ภิกษุนั้นเจริญอาโลกกสิณเห็นสีของโลหิตอันเป็นไปอยู่ เพราะอาศัย
หทัยรูปของตนอื่นด้วยทิพจักษุจึงควรแสวงหาจิต. เพราะโลหิตนั้น
เมื่อกุศลโสนมนัสยังเป็นไปอยู่ ย่อมมีสีแดงคล้ายสีของลูกไทรสุก. เมื่อ
อกุศลโสมนัสยังเป็นไปอยู่ โลหิตนั้นย่อมมีสีขุ่นมัว. เมื่อโทมนัสยังเป็น
อยู่ ย่อมมีสีดำขุ่นมัวเหมือนสีลูกหว้าสุก. เมื่อกุศลอุเบกขายังเป็นไปอยู่
ย่อมมีสีใสเหมือนน้ำมันงา. เมื่ออกุศลอุเบกขายังเป็นไปอยู่ โลหิตนั้น
ย่อมขุ่นมัว. เพราะฉะนั้น ภิกษุนั้นเห็นสีโลหิตหทัยของคนอื่นว่า

รูปนี้เกิดขึ้นด้วยโสมนัสสินทรีย์. รูปนี้เกิดขึ้นด้วยโทมนัสสินทรีย์ รูปนี้
เกิดขึ้นด้วยอุเบกขินทรีย์ดังนี้ แล้วแสวงหาจิตควรทำเจโตปริยญาณให้มี
กำลัง. เพราะเมื่อเจโตปริยญาณนั้นมีกำลังอย่างนี้ ภิกษุย่อมรู้จิตอันมี
ประเภทเป็นกามาวจรเป็นต้น แม้ทั้งหมดโดยลำดับ ก้าวไปจากจิตสู่จิต
เว้นการเห็นรูป (สี) ของหทัย. แม้ในอรรถกถาท่านก็กล่าวไว้ว่า
ถามว่า ผู้ประสงค์จะรู้จิตของผู้อื่นในอรูปภพ
ย่อมเห็นหทัยรูปของใคร ? ย่อมแลดูความวิการ
แห่งอันทรีย์ของใคร ? ตอบว่าไม่แลดูของใคร ๆ
นี้เป็นวิสัยของผู้มีฤทธิ์ คือ ภิกษุคำนึงถึงจิตในที่
ไหน ๆ ย่อมรู้จิต 16 ประเภท. ก็นี้เป็นกถาด้วย
อำนาจแห่งการไม่ทำความยึดมั่น 1 .

บทว่า ปรสตฺตานํ - แห่งสัตว์อื่น คือ แห่งสัตว์ที่เหลือเว้นตน.
บทว่า ปรปุคฺคลานํ แห่งบุคคลอื่น แม้บทนี้ก็มีความอย่าง
เดียวกับบทว่า ปรสตฺตานํ นี้ แต่ท่านกล่าวความต่างกันด้วยความ
ไพเราะแห่งเทศนา และด้วยพยัญชนะ ด้วยสามารถเวไนยสัตว์.
บทว่า เจตสา เจโต ปริจฺจ ปชานาติ - กำหนดรู้ใจด้วย
ใจ คือ กำหนดรู้ใจของสัตว์เหล่านั้น ด้วยใจของตนโดยประการต่าง ๆ
1. วิสุทธิมรรค เล่ม 2 หน้า 247 - 8.

ด้วยอำนาจจิตมีราคะเป็นต้น. วา ศัพท์ ในบทมีอาทิว่า สราคํ วา เป็น
สมุจจยัตถะ คือ อรรถว่ารวบรวม.

ในบทนั้น จิตสหรคตด้วยโลภะ 8 อย่าง ชื่อว่าจิตมีราคะ.
กุศลจิตและอัพยากตจิตเป็นไปในภูมิ ที่เหลือชื่อว่าจิตปราศจากราคะ.

ส่วนจิต 4 ดวงเหล่านี้ คือ จิตที่สหรคตด้วยโทมนัส 2 ดวง
จิตที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและอุทธัจจะ 2 ดวง ไม่สงเคราะห์เข้าในทุกะ
นี้. แต่พระเถระบางพวกสงเคราะห์จิตแม้เหล่านี้ ด้วยบทว่า วีตราค
- ปราศจากราคะ.

ส่วนจิตสหรคตด้วยโทมนัส 2 อย่าง ชื่อว่าจิตมีโทสะ. กุศลจิต
และอัพยากตจิต เป็นไปในภูมิ 4 แม้ทั้งหมด ชื่อว่าจิตปราศจากโทสะ.
อกุศลจิต 10 ที่เหลือไม่สงเคราะห์เข้าในทุกะนี้. แต่พระเถระบางพวก
สงเคราะห์อกุศลจิตแม้เหล่านั้นด้วยบทว่า วีตโทสํ - ปราศจากโทสะ.
แต่ในบทนี้ว่า สโมหํ วีตโมหํ - จิตมีโมหะ จิตปราศจาก
โมหะ สองบทนี้สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและอุทธัจจะ ด้วยสามารถเป็น
เอกเหตุกะของโมหะ ชื่อว่าจิตมีโมหะ. อกุศลจิตแม้ 12 อย่าง พึงทราบ
ว่า ชื่อว่าจิตมีโมหะ เพราะโมหะเกิดในอกุศลทั้งหมด. กุศลและอัพยากฤต
ที่เหลือเป็นจิตปราศจากโมหะ.

ส่วนจิตที่เนื้อด้วยถีนมิทธะเป็นจิตหดหู่ จิตที่เนื่องด้วยอุท-
ธัจจะเป็นจิตฟุ้งซ่าน.
รูปาวจรจิตและอรูปาวจรจิต เป็นจิตมหรคต. จิตเป็นไปในภูมิ
3 แม้ทั้งหมดเป็นจิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า. โลกุตรจิตเป็นจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า
จิตที่ถึงอุปจาระและจิตถึงอัปปนา เป็นจิตมีสมาธิ. จิตที่ไม่ถึง
ทั้งสองอย่างนั้นเป็นจิตไม่มิสมาธิ.
จิตที่ถึงตทังควิมุตติ วิกขัมภนวิมุตติ สมุจเฉทวิมุตติ ปฏิปัส-
สัทธิวิมุตติ และนิสสรณวิมุตติ เป็นจิตพ้นแล้ว. จิตที่ไม่ถึงวิมุตติ 5 นี้
พึงทราบว่า เป็นจิตยังไม่พ้นแล้ว.
ภิกษุผู้ได้เจโตปริยญาณ ย่อมรู้จิตแม้มีประเภท 16 อย่าง
ปุถุชนทั้งหลายย่อมไม่รู้มรรคจิต และผลจิต ของพระอริยะ
ทั้งหลาย. แม้พระอริยะชั้นต่ำ ก็ไม่รู้มรรคจิต และผลจิต ของพระ-
อริยะชั้นสูง ๆ แต่พระอริยะชั้นสูง ๆ ย่อมรู้จิตของพระอริยะชั้นต่ำ ๆ ด้วย
ประการฉะนี้.
จบ อรรถกถาเจโตปริยญาณนิทเทส

บุพเพนิวาสานุสติญาณนิทเทส


[256] ปัญญาในการกำหนดธรรมทั้งหลาย อันเป็นไปตาม
ปัจจัยด้วยสามารถความแผ่ไปแห่งกรรมหลายอย่างหรืออย่างเดียว เป็น
บุพเพนิวาสานุสติญาณอย่างไร ?
ภิกษุในศาสนานี้ ย่อมเจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยสมาธิยิ่ง
ด้วยฉันทะและสังขารอันเป็นประธาน ฯลฯ ครั้นแล้วย่อมรู้ชัดอย่างนี้
ว่า เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ก็ย่อมมี เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น คือ
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงมีนามรูป เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงมีสฬา-
ยตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัยจึงมีผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย
จึงมีเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัยมีตัณหา เพราะตัณหาเป็นปัจจัย
จึงมีอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัยจึงมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัยจึง
มีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัยจึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์
โทมนัสและอุปายาส ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ย่อมมีด้วย
ประการอย่างนี้ ภิกษุนั้นมีจิตอบรมแล้วอย่างนั้น บริสุทธิ์ ผ่องแผ้ว
ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อบุพเพนิวาสานุสติญาณ เธอย่อมระลึกถึงชาติ
ก่อนได้เป็นอันมาก คือ ระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติ
บ้าง สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติ